
คนเรารู้สึก“เสียใจ”กับเรื่องอะไรบ้าง ก่อนเสียชีวิต?
[เสด-ถะ-สาด].com ขอเสนอบทความจากประสบการณ์ของผู้ที่ดูแลผู้ป่วยในช่วงไม่กี่สัปดาห์สุดท้ายก่อนเสียชีวิต ว่าพวกเขาเหล่านั้นนึกเสียใจกับเรื่องอะไรที่ผ่านมาของชีวิตบ้าง และบทเรียนของพวกเขาเหล่านี้ จะทำให้เรารักและเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของเราให้ดีขึ้น
……….
หลังจากวันแห่งความรักผ่านไป ขออนุญาตซึ้งแบบพลิกอารมณ์สักหน่อยนะครับ บทความชิ้นนี้ตั้งใจว่า หลังจากที่เพื่อนๆ ให้ความรักกับคนรอบข้างแล้ว ลองมาดูว่า จะรักและตระหนักกับการใช้ชีวิตของตัวเองให้มีคุณค่ามากขึ้นได้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ [เสด-ถะ-สาด].com เคยนำเสนอบทความเรื่อง “ก่อนตาย”…เราเห็นอะไร? ที่ได้ไปสำรวจคนจำนวนหนึ่งที่หัวใจของพวกเขาเคยหยุดเต้น และฟื้นขึ้นมาจากการปั๊มหัวใจ ว่าในเวลาที่หัวใจของพวกเขากำลังจะหยุดเต้นนั้น เขาเห็นอะไรกันบ้าง บทความนี้อาจจะนับเป็นอีกภาคหนึ่งก็ได้ เพราะมันกำลังจะบอกเราว่า คนที่ป่วยหนักและรู้ตัวว่ากำลังจะเสียชีวิต เขารู้สึกเสียใจเรื่องอะไรบ้าง
“รอยยิ้มที่แสนน่ารักของคุณยายชาวเชียงรายใกล้สามเหลี่ยมทองคำ” (ที่มาของภาพ)
……….
หนังสือขายดีใน Amazon เล่มหนึ่ง ชื่อว่า “The Top Five Regrets of the Dying” เขียนโดย Bronnie Ware ซึ่งเป็นคนดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่ากำลังจะเสียชีวิตและกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอวันตาย โดยเธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสามถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต ในช่วงเวลาดังกล่าว เธอได้มีโอกาสพูดคุยและรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น เธอพบว่ามีอยู่ห้าประเด็นหลักๆ
ประเด็นแรก พวกเขาน่าจะใช้ชีวิตตามความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง มากกว่าตามความคาดหวังของคนอื่น (I wish I’d had the courage to live a life true to myself, not the life others expected of me.)
เกือบทุกคนที่กำลังจะเสียชีวิตจะพูดถึงประเด็นนี้ เมื่อพวกเขารู้ตัวว่าชีวิตได้ล่วงเลยมาจนถึงขั้นนี้แล้ว และย้อนกลับไปมองอดีต เขาจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าอะไรที่อยากทำ อะไรที่ได้ทำ และอะไรที่ยังไม่ได้ทำ
กว่าพวกเขาจะรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่ควรจะเดินตามความฝันของตัวเอง หรืออย่างน้อยก็แค่พยายาม มันก็สายเกินไป สุขภาพของพวกเขาเอาอิสรภาพในการตัดสินใจทำไปจากพวกเขาแล้ว และก็ไม่มีวันจะคืนให้เขาอีกต่อไป
ประเด็นที่สอง พวกเขาจะไม่ทำงานหนัก (I wish I didn’t work so hard.)
งานหนักที่พวกเขาเคยรู้สึกว่าไม่ทำไม่ได้นั้น พาพวกเขาออกห่างจากชีวิตส่วนตัว ลูกๆ ครอบครัว และคนสำคัญของชีวิต พวกเขาไขว่คว้าและวิ่งตามแต่เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือแม้กระทั่งการยอมรับจากคนที่อยู่นอกวงกลมของชีวิต โดยที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าตัวเองทำอย่างนั้น
พวกเขาคิดว่าพวกเขาน่าจะมีตารางเวลาที่ดี แสวงหาเงินทอง ชื่อเสียง หรือเกียรติยศเท่าที่พอเพียง และแบ่งเวลาไปให้กับชีวิตส่วนตัว ลูกๆ ครอบครัว และคนสำคัญของชีวิต เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพวกเขาหมดลมหายใจ จะไม่มีอะไรที่ติดตัวพวกเขาไปเลยสักอย่างเดียว
ประเด็นที่สาม พวกเขาน่าจะกล้าแสดงความรู้สึกของตัวเองให้มากกว่านี้ (I wish I’d had the courage to express my feelings.)
คนจำนวนมากเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ข้างใน เพราะเกรงใจ เพราะกลัวคนจะว่า เพราะกลัวจะไปขัดใจคนอื่น แต่ความรู้สึกเหล่านั้นจะนำมาซึ่งความเครียด และความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองในภายหลัง นอกจากนี้ ความต้องการแสดงความรู้สึกของตัวเองไม่ได้มีเฉพาะด้านลบเท่านั้น พวกเขายังไม่แทบจะไม่ได้แสดงความรู้สึกดีดีออกไปให้บางคนที่ได้รับรู้ในสถานการณ์นั้นๆ เมื่อเวลาผ่านมา จนถึงที่พวกเขากำลังจะเสียชีวิต หลายคนก็เสียชีวิตไปก่อนเขา และหลายครั้งมันก็เลยสถานการณ์นั้นๆ มานานแล้ว
หากพวกเขาได้แสดงความต้องการออกไปอย่างที่ตัวเองรู้สึก ทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดีนั้น จะทำให้พวกเขาไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจ รู้สึกดีกับตัวเองมากกว่านี้ และเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
ประเด็นที่สี่ พวกเขาจะอยู่กับเพื่อนเก่าๆ ให้นานกว่านี้ (I wish I had stayed in touch with my friends.)
บ่อยครั้งที่พวกเขารับรู้ถึงความสุขที่แท้จริงจากการได้อยู่กับเพื่อนเก่าๆ ก็ต่อเมื่อตัวเขาเองกำลังจะเสียชีวิตลง หรือเพื่อนๆ ของเขาเหล่านั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว ที่ผ่านมา พวกเขาก็ห่างเหินจากเพื่อนเก่าๆ ที่สนิทกันมากๆ ไปเป็นปีๆ และเมื่อพวกเขากำลังจะเสียชีวิต พวกเขาก็รู้สึกเสียใจกับช่วงเวลาที่ผ่านมา
มันอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาที่ชีวิตอันยุ่งเหยิงจะพาเราออกจากเพื่อนๆ แต่เมื่อเรากำลังจะเสียชีวิตลง พวกเขากลับต้องการเพื่อนๆ พูดคุย เห็นหน้า ดูหนังด้วยกัน ไปเที่ยวกัน มากกว่าเรื่องอื่นๆ เสียอีก
ประเด็นที่ห้า พวกเขาน่าจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากกว่านี้ (I wish that I had let myself be happier.)
เป็นเรื่องน่าแปลกใจมาก เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่กำลังจะเสียชีวิตกลับตระหนักว่า ความสุขนั้นอยู่ที่ตัวเราเอง พวกเขาดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ ใช้ชีวิตแบบซ้ำๆ แล้วก็หลอกตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่มันดีอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะกลัวการเปลี่ยนแปลง หรือไม่ก็ไม่อยากจะลำบากต้องเปลี่ยนแปลงอะไร
เมื่อพวกเขากำลังจะเสียชีวิต และย้อนเวลากลับไปนึกถึง พวกเขารู้สึกว่าความสุขในชีวิตนั้น เกิดจากสิ่งที่เขาเลือก อะไรก็ตามที่ทำอยู่ซ้ำๆ จะไม่ได้ให้อะไรกับชีวิตมากนัก แต่จุดเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่เป็นไปตามความต้องการของตนเองนั้น ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว มีความหมายกับชีวิตมากกว่านัก
“รอยยิ้มที่ดูจริงใจมากของชายไทยชาวชนบทคนหนึ่ง” (ที่มาของภาพ)
……….
หลายคนอาจจะสงสัยว่า [เสด-ถะ-สาด].com ได้บอกไว้ว่าเดือนนี้จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ทำไมจึงเป็นบทความนี้ แต่เมื่อเพื่อนๆ ที่ได้อ่านจบแล้ว ก็คงจะได้เห็นคุณค่าของความรักมากขึ้น ทั้งความรักที่มีต่อชีวิตตนเอง รักครอบครัว รักเพื่อน และคนรอบข้าง
ขอให้ทุกท่านใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ตระหนักกับทุกๆ วินาทีที่ผ่านไปนะครับ เมื่อถึงวันหนึ่งที่เราอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับพวกเขาเหล่านี้ เราจะได้ไม่เสียใจกับช่วงเวลาที่ผ่านไป ขอเป็นกำลังใจให้กับความรักของทุกๆ คนครับ ^^
ขอขอบคุณ คุณมนต์ชัย วงษ์กิตติไกรวัล (ดีเจเล็กน้อยจาก RadioOK OKLove) ที่ได้แบ่งปันบทความดีดีมาให้ครับ
ที่มา
- Ware, Bronnie. (2011) The Top Five Regrets of the Dying: A Life Transformed by the Dearly Departing. Balboa Press.
- Regrets of the Dying. (2009). Retrieved February 14, 2011, from http://www.inspirationandchai.com/Regrets-of-the-Dying.html
- พสุ เดชะรินทร์. (2553). สิ่งที่เรามักจะนึกเสียใจก่อนเสียชีวิต. หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ หน้าการเมือง: ทัศนะวิจารณ์. ฉบับวันที่ 9 สิงหาคม.
featured image from thaiblogonline.com