homework2

“การบ้าน” ทำให้เด็กฉลาดขึ้นหรือไม่?

การบ้านเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการศึกษาในโรงเรียนมาเนิ่นนาน แต่เคยสงสัยกันไหมว่าการบ้านมีผลช่วยให้เด็กๆ ฉลาดขึ้นหรือไม่ มีวินัยมากขึ้นหรือไม่ รักการเรียนมากขึ้นไหม นอกจากนั้น การบ้านยังมีผลได้ที่ลดน้อยถอยลง เบียดบังเวลาเรียนรู้ด้านอื่นๆ แถมคุณครูแต่ละคนยังมี coordination failure ในการสั่งการบ้านด้วย

……….


มื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ประธานาธิบดีฝรั่งเศสเตรียมออกคำสั่งห้ามครูสั่งการบ้านนักเรียน เนื่องจากไม่ได้ช่วยให้เด็กฉลาดขึ้น (ดูข้อมูลประกอบที่นี่) อันที่จริงประเด็นนี้เป็นที่สนใจกันมาพอสมควรแล้ว โดยจุดเริ่มต้นมาจากหนังสือที่มีชื่อเสียงมากสองเล่มคือ The Homework Myth ของ Alfie Kohn และ The Case Against Homework ของ Sara Bennett และ Nancy Kalish หนังสือทั้งสองเล่มได้ยกเอาข้อมูล สถิติ งานศึกษา และการสำรวจจำนวนมากเพื่อพยายามชี้ให้เห็นว่า “การบ้าน(ที่มากเกินไป)ไม่ได้มีส่วนช่วยให้เด็กมีได้คะแนนสอบดีขึ้น”

ข้อมูลที่น่าสนใจก่อนการวิเคราะห์ของหนังสือทั้งสองเล่ม ได้แก่

  • จากการสำรวจเด็กอเมริกัน 24,000 คนในปี 2004 ของมหาวิทยาลัยมิชิแกน พบว่า เด็กใช้เวลาทำการบ้านมากขึ้นกว่าในปี 1981 ถึง 51%
  • เด็กๆ ในชั้นเรียนระดับล่างจะมีอัตราการเพิ่มของการบ้านมากกว่าเด็กในชั้นเรียนที่สูงขึ้น
  • เด็กในช่วงอายุ 6-8 ปี ใช้เวลาทำการบ้านเพิ่มจาก 52 นาทีต่อสัปดาห์ในปี 1981 เป็น 128 นาทีต่อสัปดาห์ในปี 1997 และดูเหมือนว่าในปี 2006 จะเพิ่มเป็น 78 นาทีต่อวันเลยทีเดียว
  • ผลการสำรวจดังกล่าวไม่ได้ดูเหมือนเป็นจริงแค่ในสหรัฐอเมริกา เพราะประเทศที่ให้การบ้านน้อย(เกินไป) เช่น ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเชค และเดนมาร์ก จะมีคะแนนสอบมาตรฐานของเด็กสูงกว่าประเทศที่ให้การบ้านมาก(เกินไป) เช่น ไทย กรีซ และอิหร่าน

……….

Cooper, Robinson and Patall (2006) หาความสัมพันธ์ของเวลาที่ใช้ในการทำการบ้านกับคะแนนสอบมาตรฐาน(ไม่เกี่ยวข้องกับคะแนนที่มาจากการบ้าน) ด้วยการหาค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) การวิเคราะห์ตัวแปรพหุ (Multivariate Analysis) และการวิเคราะห์สมการแบบโครงสร้าง (Structural Equations Model) แต่”ไม่”พบความสัมพันธ์ในทางบวกระหว่างเวลาที่ใช้ในการทำการบ้านกับคะแนนสอบ นั่นคือ การบ้านไม่ได้มีผลใดใดกับความฉลาดของเด็ก

นอกจากนี้ Cooper et. al (2006) ยังพบความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นเส้นตรงของการบ้านกับคะแนนสอบ นั่นคือ จำนวนการบ้านเป็นไปตามกฎของการลดน้อยถอยลง (Diminishing Return)

ภาพที่ ๑ แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเวลาที่ใช้ในการทำการบ้านกับคะแนนสอบมาตรฐานของเด็กเกรด 4, 8 และ 12 (เทียบได้กับเด็ก ป.4, ม.2 และ ม.6) ซึ่งผลได้ที่ลดน้อยถอยลงนั้นมีความชัดเจนมากในเด็กเล็ก แต่จะมีความอดทนมากขึ้นเมื่อเด็กโตขึ้นตามอายุ(เกรด)

“ภาพที่ ๑ ความสัมพันธ์ระหว่างเวลาที่ใช้ในการทำการบ้านกับคะแนนสอบมาตรฐานของเด็กเกรด 4, 8 และ 12″


ที่น่าสนใจคือภาพที่ ๒ ซึ่งเด็กที่ไม่มีการบ้านกับเด็กที่มีการบ้านนั้น มีระดับผลการสอบที่แตกต่างกันน้อยมากๆ คือ เด็กที่ใช้เวลาทำการบ้านเฉลี่ยวันละ 1 ชั่วโมงจะมีคะแนนสอบเฉลี่ยอยู่ที่ 222 คะแนน กับเด็กที่ไม่มีการบ้านจะมีคะแนนสอบเฉลี่ยอยู่ที่ 212 คะแนน

“ภาพที่ ๒ ความสัมพันธ์ระหว่างเวลาที่ใช้ในการทำการบ้านกับคะแนนสอบมาตรฐานของเด็กที่ใช้เวลาทำการบ้านแตกต่างกัน”

……….

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของการบ้านอีกประการหนึ่งก็คือ อันที่จริงกระบวนการเรียนรู้ของเด็กควรเป็นแบบสม่ำเสมอและค่อยเป็นค่อยไป แต่การให้การบ้านของครูในแต่ละวิชานั้นมีแนวโน้มจะเป็นอิสระจากกัน จึงเกิดความล้มเหลวของการร่วมมือกันให้การบ้าน (Homework Coordination Failure) นั่นหมายถึง บางวันเด็กอาจจะมีการบ้านเยอะมาก บางวันก็อาจไม่มีเลย แทนที่จะกระจายอย่างสม่ำเสมอ

แม้ว่าจะมีการโต้แย้งว่า การบ้านอาจไม่ได้มุ่งหวังแค่ผลสอบที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังมุ่งหวังเพื่อสร้างนิสัยรักการเรียนด้วย อย่างไรก็ตาม งานวิจัยที่ตามมาจำนวนมากก็ยังไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ เพราะการบ้านมีแนวโน้มที่น่าจะทำให้เด็กไม่รักการเรียนมากกว่า

นอกจากนี้ การบ้านยังทำให้เด็กมีโอกาสใช้เวลาในการออกกำลังกายน้อยลง มีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวน้อยลง และนอนน้อยลงด้วย ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญกับพัฒนาการของเด็กและการเป็นคนที่สมบูรณ์ของสังคมในอนาคตไม่น้อยไปกว่าการเป็นคนเรียนเก่งอีกด้วย

ทางออกที่ Kohn (ผู้เขียนหนังสือ The Homework Myth) เสนอคือให้ยกเลิกการบ้านไปเลย ขณะที่ Bennet and Kalish เสนอบนพื้นฐานงานวิจัยของ Cooper et. al (2006) ว่าให้มีการบ้านเพียงเล็กน้อย (ประมาณ 10 นาที) และไม่ต้องมีการบ้านในช่วงวันหยุดยาวหรือสุดสัปดาห์ด้วย

“ตัวอย่างของความล้มเหลวในการทำการบ้าน (ภาพจาก FaceBook ซึ่งไม่ทราบต้นตอแรกจริงๆ ครับ)”

……….

แม้ว่าข้อเสนอแนะของหนังสือทั้งสองเล่มจะดูขัดแย้งกับสถานการณ์ของโลกความเป็นจริง(รวมทั้งสังคมไทย)ไปมากทีเดียว แต่มันก็น่าจะทำให้เราฉุกคิดหรือนำมาศึกษาในกรณีเฉพาะของสังคมเราบ้างว่า “การบ้านเป็นผลดีกับการศึกษาของเด็ก…จริงหรือไม่” และก็เป็นสิ่งที่น่าจะช่วยกันหาคำตอบต่อไป ^^






ที่มา:
– Harris Cooper, Jorgianne Civey Robinson, and Erika A Patall (2006) Does Homework Improve Academic Achievement? A Synthesis of Research, 1987–2003. Review of Educational Research Spring 76: 1-62.
– Alfie Kohn (2007) The Homework Myth: Why Our Kids Get Too Much of a Bad Thing. Da Capo Press.
– Sara Bennett and Nancy Kalish (2007) The Case Against Homework: How Homework Is Hurting Children and What Parents Can Do About It. Three Rivers Press; Reprint edition.

  • Noptana Phasuk

    article นี้ช็อตมากครับ ^^

  • http://twitter.com/neizod nɐエz0d⧮⧮⧮⧮⧮⧮⧮⧮⧮⧮⧮⧮⧮⧮

    แม่กินรถยนต์ O___O

  • Noptana Phasuk

    หวัดดีตาเนย

  • http://www.facebook.com/paaaii Kiettisak Angkanawin

    การบ้าน ปริมาณพอดี เป็นผลดี – การบ้าน มากเกินไป ไม่เป็นผลดี

  • disqus_g5s1UuDYof

    คงฉลาดขึ้น ถ้าพ่อแม่ไม่ทำให้เด็กนะคะ

  • auckaplon chotitat

    ภาพการแต่งประโยคของเด็กไทย เป็นการบ้านของเด็กป.แรก อาจจะป. 1-2 เพื่อฝึกใช้จินตนาการทำโจทย์มาแต่งเป็นประโยค และฝึกเขียน เด็กวัยนี้ถ้าเขียนคำถูกก็ไม่ใช้ความล้มเหลวนะครับ

  • http://www.facebook.com/chanchomja ชวนชม ชวนชื่น

    มันไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องทั้งหมดหรอก

  • http://www.facebook.com/tlftranslation บริการแปลล่ามอังกฤษไทย และสอนภ

    ถ้าในเชิงหลักสูตรและการสอน จะใช้คำว่าแบบฝึกหัดครับ แบบฝึกหัดจะเป็นตัวช่วยแก้ไขสิ่งที่ไม่ถนัดให้ถนัดขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวช่วยเสริมแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (Achievement Motive) สร้างทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning / Autonomous Learning / Learner Autonomy / Learning Autonomy) และ การรู้คิด (Metacognition) เพื่อจะได้เป็นผู้เรียนตลอดชีวิต (Life-Long Learner) ที่จะอยู่ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วได้เป็นอย่างดี

    แต่ต้องยอมรับความจริงในเรื่องนี้ครับ “ปัญหาของการบ้านอีกประการหนึ่งก็คือ อันที่จริงกระบวนการเรียนรู้ของเด็กควรเป็นแบบสม่ำเสมอและค่อยเป็นค่อยไป แต่การให้การบ้านของครูในแต่ละวิชานั้นมีแนวโน้มจะเป็นอิสระจากกัน จึงเกิดความล้มเหลวของการร่วมมือกันให้การบ้าน” และเืรื่องนี้ด้วย น่าเศร้าี่ที่โรงเรียนเกือบทั้งหมดในไทย “ไม่ได้ทำหลักสูตรสถานศึกษาครับ” ดังนั้นการจัดเวลาเรียน รวมทั้งภาระงานในแต่ละวิชา จึงไม่ได้เตรียมไว้รองรับการเรียนรู้ของเด็กอย่างเหมาะสมครับ กระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง เลยเป็นการสร้าง “พฤติกรรมการลอกการบ้าน” เพื่อส่งให้ทันครับ

    การบ้านเป็นผลดีกับการศึกษาของเด็ก…จริงหรือไม่ ถ้าจากวิทยานิพนธ์ปริญญาโทจำนวนมากของนักศึกษาไทย มีส่วนช่วยสร้างนิสัยการเรียนรู้ที่ดีได้อย่างข้างต้นครับ แต่ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับคือ แบบฝึกหัดที่เป็นการบ้านเหล่านี้ ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้วครับ อีกทั้งยังอยู่ในโครงสร้างที่ถูกต้องด้วย ที่สำคัญ ยังเป็นเพียงการวิจัยระดับชั้นเรียนของแต่ละวิชาเท่านั้นครับ ยังไม่ได้ใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นหมื่นคนเหมือนกับรายงานการวิจัยข้างต้น

  • http://www.facebook.com/kamolchai.kaewpikul Kamolchai Kaewpikul

    ผมว่าควรมีแต่ น้อยๆพอให้เด็กพอจำได้ว่าวันนี้เรียนอะไร ผมเห็นด้วยกับการที่การบ้านทำให้กิจกรรมต่างๆที่เด็กควรได้รับหายไป และอาจทำให้เด็กขาดโอกาสในการค้นพบตัวเองจากกิจกรรมอื่นๆที่ไม่มีในโรงเรียน

  • http://twitter.com/PsnTc Pison

    ตอนเด็กๆ ผมก็เลือกทำครับ เช่น ถ้าให้ 50 ข้อ แล้วมันเหมือนๆ กัน ผมก็เลือกทำ 10 ข้อ ส่งแค่นั้นพอ

  • Pingback: Home or Homework | Inspiration Once Day

  • http://www.facebook.com/pukpao.fukuda Kittiphong Sakuntanak

    ถ้าบางวิชา อย่างคณิต กับวิทย์ ก็พอมีเหตุผลที่จะมีการบ้านให้ทำ (แต่ไม่จำเป็นต้องให้ทุกคาบก็ได้นะ) แต่พวกการบ้านวิชาสังคม พระพุทธฯ ประเภทให้ไปอ่านแล้วโน้ตย่อมาส่ง (โดยไม่มีบรรยายให้ฟังในห้องเลย) อันนี้อ่ะผมแอนตี้มากคับ

  • We_are_UnHome_Work

    การบ้านยาวเป็นหางว่าว ไม่มีเวลาออกกำลังกาย เล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมอื่นๆหลังเลิกเรียน แถมหนักกว่านั้นบางวิชา่ไม่ทำด้วยซ้ำเพราะ ทำไม่ทัน บางคืนก็อยู่จนดึกจนดื่น นอนตีสอง ตีสาม ตื่นหกโมง เจ็ดโมงอย่างเงี่ย ขอแอนตี้เรื่องให้การบ้านเยอะครับ ควรให้แต่พอดีครับ อาจจะสัปดาห์ละงานต่อวิชา บางวิชาไม่รู้จะให้อะไรก็ไม่ต้องให้ครับ แต่ทางที่ดีควรดูว่าเด็กส่งงานครบรึยัง ตามกำหนดเวลาไหมแล้วค่อยให้งานต่อไปครับ ไม่ใช่สั่งพร้อมกันหลายๆงาน หรือ เดียวนี้เรียนแต่ละวิชาก็ 100 นาทีต่อวัน ก็อาจจะแบ่ง 50 – 60 นาทีแรกก็สอนให้เต็มที่เวลาที่เหลื่อก็ให้เด็กทำงานส่งในชม.เรียนเลยก็ดีครับ หมดปัญหาไม่ทำส่ง ลืมเอามาส่ง และอื่นๆครับ

  • “”"”"”"”"”"”

    ผมคิดว่าถ้าการบ้านเยอะจนเกินไป เป็นใครก็ไม่อยากทำหรอกครับ
    สุดท้ายก็ต้องลอกกันมาส่ง แล้วก็ไม่ได้อะไรเลย

  • ครูต้น

    อย่างน้อยเด็กก็จะได้ฝึกทักษะด้านการเขียนนะครับ ถึงจะทำมาผิดๆถูกๆก็เหอะ

  • เด็กนักเรียน

    หวังอะไรไม่ได้หรอกกับการศึกษาไทย ปีก่อนบอกให้ลดการบ้าน อาจเพราะความเก็บกด พอเปิดภาเรียนใหม่ สั่งมากกว่าเดิมอีก อย่าลืมสิว่าเด็กมีเวลาทำการบ้านเท่าเดิม ไม่ได้มากขึ้นตามจำนวนการบ้าน ถ้าจะสั่งการบ้านครูหรืออาจารย์ช่วยกรุณานัดกันก่อนสักนิดได้ไหม บางรายสั่งงานเหมือนกันเป๊ะ เป็นงานใหญ่ด้วย เด็กก็ท้วงว่าครูอีกคนสั่งไปแล้ว ครูบอกคนละวิชา เด็กนะไม่ใช่เทวดาจะประเคนให้ได้ทุกสิ่งสมบูรณ์แบบ ครูก็คาดหวังในตัวเด็กไว้สูงเหลือเกิน การบ้านน่ะถ้าไม่มีเลยก็ไม่เห็นด้วยเท่าไร เพราะมันก็มีประโยชน์ในการฝึกคิดฝึกทำ

  • Nattawut Sittichontarn Svusa

    เอาตามจริงนะ ผมก็เป็นนักเรียนคนหนึ่ง ที่อยู่โรงเรียนประจำจังหวัดและ ระดับโรงเรียนสูง และ การบ้านเนี่ยเป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยชอบมากเท่าไหร่ ผมว่าประธานาธบดี ประเทศฝรั่งเศลคิดถูกแล้ว ที่ ไม่สั่งการบ้านให้เด็ก เพราะ บางครั้งเราไม่รู้หรอกว่า แต่ละโรงเรียน แต่ละอาจารย์ ประจำวิชานั้น จะสั่งการบ้านมากหรือน้อย ก็ควรกันไว้ก่อน มาดูข้อแตกต่าง ระหว่างไม่ให้การบ้าน กับ ให้การบ้าน มีผลดีไหม และ ทำให้เกรตเรียนดีขึ้นไหม การให้การบ้านเนี่ย เป็นสิ่งที่ให้นักเรียนเอาไปทำที่บ้าน ซึ่ง เด็ก นับล้านคนบนโลกนี้ ก็คงไม่ค่อยชอบการบ้านให้ไปทำที่บ้าน และ เด็กบางคนมันขี้เกียจทำการบ้าน ซึ่งผมเป็นหนึ่งในนั้น แล้วทีนี้พอขี้เกียจทำ ก็เริ่มมีงานค้าง เริ่มมีงานเข้าหัว ไม่เสร็จบ้าง ดินพอกหางหมู แล้ว ที่นี้เนี่ยไอการบ้าน ที่เด็กไม่ทำเนี่ย คะแนนเก็บน้อยไม่ดี ถึงขณะติด 0 เลยทีเดียว แล้ว ไอการบ้านที่ค้างๆเนี่ย มันเป็นจุดที่ทำให้นึกอยู่ในสมองอยู่ ตลอดเวลา ว่า เห้ย จะทำยังไงดี วะ งานก็ไม่เสร็จ + จะอ่านหนังสือสอบก็ไม่ได้ ต้องเครียร์งานก่อน ถึง จะ เครียร์งานทีหลัง อ่านหนังสือสอบก่อน ก็ช่วยไม่ได้อยู่ดี เพราะ จะเครียร์งานไป ก็ ทำให้ได้คะแนนน้อย กว่าเดิม แล้ว ทำให้เกรต ไม่ดีตาม เอาจริงนะๆๆ ผมรู้ว่า การให้การบ้านเป็นสิ่ง ที่ ช่วยให้ มีความรับผิดชอบในการทำงาน ซึ่งผมก็รู็ แต่ บางที่ ก็ต้องเข้าใจว่ามันมีกี่วิชา + อาจารย์ แต่ ละคนให้มากน้อยแค่ไหนเราก็ไม่รู้ แล้วทีนี้เด็กมันจะตามไม่ทัน แล้วได้เกรดไม่ดี แล้วทีนีมาเจอกับการไม่ให้การบ้าน บ้าง เหมือนใน ฝรั่งเศล ถ้าเด็กที่ขี้เกียจ ทำงาน มาเจอแบบนี้ คงจะรู้สึงดี ซึ่งผมก็จะรู้สึกดีเหมือนกัน 55555555 การไม่ให้การบ้านไปทำที่บ้าน ให้ทีโรงเรียนแทน ถ้า อาจารย์คิดจะให้ ก็ให้ที่ โรงเรียน อาจารย์ บางคนก็บอกว่า อ่าว แล้ว ถ้าไม่ให้การบ้าน มาให้ที่โรงเรียน แทนแล้วมัน จะเรียนทันหรอ ก็เหมือนใน ฝรั่งเศล เขาเพิ่มเวลาเรียน 1 คาบ / 1.30 ชม – 2ช.ม 1 ชม เรียน อีก 1 ชม ให้ทำการบ้าน แล้วเวลาให้ ควรให้แบบเหมาะสม ไม่เยอะจนเกินไป แล้วถ้าบอกว่า แล้ว ถ้าเด็กมันทำไม่ทัน เอาตามจริง อันมันอยู่ที่อาจารย์ให้การบ้านแล้วล่ะ ให้เยอะไป บางคน ให้ทำ การบ้าน เขียน 30 ข้อ ได้ 10 คะแนน อย่างนี้เด็กจะทันได้ไง ก็เก็บคะแนนแบบง่ายๆๆไป ไม่ต้องเยอะ 15 – 20 ข้อก็พอ ไม่ต้องยาว ให้มันเหมาะสมหน่อย กลับมาเรื่องเพิ่มเวลาเรียน เอาตามจริงนะ ถ้าถามเด็ก ระหว่าง ให้การบ้าน กับเพิ่มเวลาเรียน+ทำการบ้านให้เสร็จที่โรงเรียนไปเลย ให้เวลา ที่เหลือ 1 ชม ให้เต็มที่ การทำการบ้านในโรงเรียน ผมจะให้สังเกตุอย่างนึง ระหว่างให้การบ้านในโรงเรียน กับ การให้การบ้านไปทำที่บ้าน ถ้าไอพวกที่ ไม่ค่อยทำการงาน มาทำในคาบให้เสร็จ ให้เวลาพวกมัน ซัก นิดหน่อย แล้วให้อาจารย์บังคับเลย มันทำเสร็จ ตลอด มัน จะปั่นกับชิบหายเลย แล้วที่ นี้ มันก็จะมีคะแนนกัน แต่ พอเรียนจบคาบ แล้วให้การบ้านก่อนกลับ มัน จะไม่สนเลย ขี้เกียจ ทำ แล้วทีนี้ ก็มีงานค้าง อาจารย์ ก็ต้องมาเหนื่อย ตามพวกมันอีก ก็ดูละกันให้การบ้านเด็กเยอะๆๆ มันจะส่งผลตอการเรียนมาก แล้ว ยิ่งทำให้นักเรียน เครียด สับสน ไม่มีเวลาอ่านหนังสือสอบ มันจะทำให้นักเรียน ห่วง งานที่ค้างตลอดเวลา ทำอะไรไม่ถูก การบ้านเนี่ย มันไม่ได้ช่วยให้เด็กขยันขึ้นเลย ทำให้ มีแต่เสียอย่างเดียว ก็คิดถูกแล้ว ประธานาธบดี ประเทศ ฝรั่งเศล