โอกาสเจอ “ใครสักคนที่ใช่” เป็นเท่าไหร่กัน?
Backus ได้ทำการประยุกต์สมการที่ใช้ประเมินจำนวนดวงดาวที่มีโอกาสจะติดต่อกับมนุษย์ได้ มาคำนวณหาโอกาสที่ชีวิตของเราจะได้เจอใครสักคนที่ใช่ แบบที่สามารถสื่อสารกับเราได้พอดี (Perfect Match) และโอกาสที่เราจะได้คบกันกับคนๆ ด้วย แต่สุดท้ายค่าที่ได้ก็ช่างน้อยเสียเหลือเกิน
……….
ในปี 1961 นักวิทยาศาสตร์ชื่อ Frank Drake จาก the National Radio Astronomy Observatory ใน West Virginia ได้ทำการคิดสมการที่ชื่อว่า Drake equation ขึ้นมา เพื่อ ประเมินว่ามีดวงดาวสักกี่ดวงในกาแล็กซี่ที่จะมีสิ่งมีชีวิตซึ่งจะติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ได้ เพราะดาวดวงนั้นต้องมีสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตชนิดนั้นต้องศิวิไลซ์จนพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารได้ และต้องสื่อสารด้วยช่วงของการสื่อสารที่ตรงกับมนุษย์โลกพอดีด้วย
ต่อมา Backus นักเศรษฐศาสตร์ ได้ทำการประยุกต์ Drake equation เพื่อคำนวณโอกาสที่ชีวิตของเราจะได้เจอใครสักคนที่ใช่ (Perfect Match) โดยประเมินว่าจะมีสักกี่คนในสังคมที่ตรงกับความต้องการของเรา และสามารถสื่อสารกับเราได้อย่างพอดีจริงๆ (ประเภทมีฮอร์โมนตรงกันกับเราแบบมองตาก็รู้ใจ = สื่อสารด้วยสัญญาณแบบเดียวกัน) สมการดังกล่าวถูกเรียกว่า Drake-Backus equation
“ภาพชื่อ I found you (ภาพโดย stonepix_de @flickr)”
ขอเริ่มต้นจากการยกตัวอย่างการคำนวณ Drake equation ซึ่งมีหลักการว่า หากจะหาดวงดาวที่สามารถสื่อสารกับโลกได้นั้น เริ่มจากพิจารณาอัตราการเกิดดาวดวงใหม่ต่อปี ปรับด้วยจำนวนที่เป็นดาวเคราะห์ ที่สิ่งมีชีวิตสามารถอยู่รอด พัฒนาความศิวิไลซ์ และสามารถสื่อสารแบบเดียวกับมนุษย์ได้ ภายในช่วงเวลาที่ไม่น้อยไปกว่าที่ใช้พัฒนาสัญญาณ[1]
N = R* x ƒp x ne x ƒl x ƒi x ƒc x L
โดยบทความของ Drake ระบุความหมายของแต่ละตัวแปรไว้ว่า
R* = 10/year (มีดวงดาวเกิดใหม่ 10 ดวงต่อปี)
ƒp = 0.5 (ครึ่งหนึ่งของดวงดาวที่เกิดใหม่เป็นดาวเคราะห์)
ne = 2 (ในดวงดาวที่เกิด มีดาวเคราะห์ 2 ดวงที่สิ่งมีชีวิตอยู่รอดได้)
ƒl = 1 (100% ดาวเคราะห์เหล่านี้ สิ่งมีชีวิตจะอยู่รอดได้)
ƒi = 0.01 (1% สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดจะพัฒนาความศิวิไลซ์)
ƒc = 0.01 (1% จะสามารถสื่อสารได้)
L = 10,000 years (ใช้เวลาในการพัฒนาสัญญาณ 10,000 ปี)
ดังนั้น จำนวนดวงดาวในกาแล็กซี่ที่มีโอกาสจะสื่อสารกับโลกของเราได้ (N) = 10 × 0.5 × 2 × 1 × 0.01 × 0.01 × 10,000 = 10 ดวง(เท่านั้น)
“ภาพชื่อ Couple in the sunset (ภาพโดย tanakawho @flickr)”
……….
Backus ได้ทำการประยุกต์จนเป็นสมการใหม่เป็น Drake-Backus equation โดยอยู่บนพื้นฐานเดียวกันกับ Drake equation
G = R* x ƒp x ƒw x ƒL x ƒA x ƒU x ƒB x L
G = จำนวนคนที่มีโอกาสเป็น “คนที่ใช่” (The
number
of
potential
girlfriends)
R* x L
=
จำนวนประชากรในประเทศ (The
number
of
people
in
our country)
[ne หายไปในสมการ เพราะประชากรที่เกิดมาเป็นคนทั้งหมด]
ƒw = สัดส่วนของประชากรที่เป็นเพศตรงข้าม (The
fraction
of
people
in
the
country
who
are
women)
ƒL = สัดส่วนของเพศตรงข้ามที่อยู่ในเมืองของเรา (The
fraction
of
women
in
the
country
who
live
in our city)
ƒA = สัดส่วนของเพศตรงข้ามในช่วงอายุที่เหมาะสม (The
fraction
of
the
women
in our city
who
are
age appropriate)
ƒU = สัดส่วนของเพศตรงข้ามในช่วงระดับการศึกษาที่เหมาะสม (The
fraction
of
age appropriate
women
in our city
with
a
university
education)
ƒB = สัดส่วนของเพศตรงข้ามที่ตรงสเป็ค (The
fraction
of
university
educated,
age appropriate
women
in our city
who
I
find
physically
attractive)
หลักการที่สามารถเข้าใจได้ก็คือ เริ่มจากจำนวนประชากร (R* x L) ปรับด้วยสัดส่วนของเพศตรงข้าม (ƒw) ที่อยู่ในเมืองของเรา (ƒL) มีความเป็นไปได้ทางอายุ (ƒA) มีความเป็นไปได้ทางการศึกษา (ƒU) และตรงสเป็ค (ƒB) นั่นเอง
……….
ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของผู้ชาย อายุ 30 ปี จบปริญญาตรี และทำงานที่อยู่ในกรุงเทพฯ ข้อมูลที่ได้คือ
R* = 60.6 ล้านคน (2554), ƒw = 50.2% (2543), ƒL = 9.4% (2553), ƒA = 15.18% (2553 ช่วงอายุ ± 5 ปี ของคนที่อยู่ในช่วงอายุ 15-64 ปี), ƒU = 21% (2553 สัดส่วนของคนกทม.ที่จบปริญญาตรีขึ้นไป), ƒB = 5% (ตัวเลขสมมติกรณีสเป็คแคบ หมายความว่า ใน 100 คนจะตรงสเป็ค 5 คน), L = 30 ปี
เมื่อนำมาคำนวณจะได้ G = 60,600,000 x 50.2% x 9.4% x 15.18% x 21% x 5% = 4,558 คน
หรือจำนวนของคนที่ใช่สำหรับผู้ชาย จบปริญญาตรี และทำงานที่อยู่ในกรุงเทพฯ จะมีอยู่เพียง 4,558 คนเท่านั้น
จากนั้นยังไม่เสร็จเพียงแค่นี้ เพราะค่า G ที่ได้คือจำนวนของคนที่ใช่เท่านั้น ยังไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแฟนกับเราได้ จึงต้องนำค่า G มาปรับด้วย 3 ปัจจัย คือ
- สัดส่วนของคนที่จะเห็นว่าเราก็ใช่ในแบบของเขาด้วย เพราะถ้าเขาใช่ของเรา เราไม่ใช่ของเขา ก็จบ ปัจจัยนี้ขึ้นอยู่กับหน้าตา นิสัย ฐานะ และบุคลิกเฉพาะตัวของแต่ละคน (บทความสมมติว่า 5%)
- สัดส่วนคนที่ยังโสด มีค่าเป็นเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับการนิยามความโสดของแต่ละคน ถ้านับมีแฟนแล้วว่าไม่โสด คนโสดก็จะน้อย ถ้านับที่แต่งงานแล้ว ไม่นับแค่มีแฟน คนโสดก็จะเยอะขึ้น แต่บางคนเค้าไม่ถือ แต่งงานแล้วก็ยังจะนับว่าโสด อย่างนี้ก็ 100% ไปเลย (หากใช้เกณฑ์ว่ามีแฟนหรือยัง ในประเทศไทยก็คงยังไม่มีสัก 10%)
- และสัดส่วนของคนที่เราจะกล้าลองจีบดูจริงๆ อันนี้ขึ้นอยู่กับความกล้าของแต่ละคนครับ (ในบทความสมมติว่า 10%)
เท่ากับว่า จำนวนคนที่ใช่ และมีโอกาสจะได้คบกันจริงจัง (G*) คือ 4,558 x 5% x 10% x 10% = 2.279 ≈ 2 คนเท่านั้น
หรือ โอกาสที่จะได้คบกันจริงจังกับคนที่ใช่ในแบบของเรามีเพียง 2 ใน 60.6 ล้านคนเท่านั้น
……….
สำหรับคนที่ไม่เก่งคณิตศาสตร์ แต่อยากเอาสมการนี้ไปใช้ ขอแนะนำสมการง่ายๆ เป็น [ใช้ได้ทั้งหญิงและชาย เพราะสัดส่วนใกล้เคียงกันมาก]
จำนวนคนที่ใช่ และมีโอกาสจะได้คบกันจริงจัง (G*) = 9.1 x (ใน 10 คน น่าจะตรงสเป็คเรากี่คน) x (ใน 10 คน น่าจะสนใจเรากี่คน) x (ใน 10 คน น่าจะโสดกี่คน) x (ใน 10 คน จะกล้าจีบกี่คน)
และโอกาสเจอคนที่ใช่ และมีโอกาสจะได้คบกันจริงจังมีเพียง = G* / 60.6 ล้าน เท่านั้น
ดังนั้น หากใครยังไม่เจอก็ขอให้พบเจอในเร็ววันนะครับ หากใครเจอแล้วก็ขอให้ดูแลกันให้ดีและรักกันไปนานๆ ครับ เพราะจากสมการจะเห็นได้ว่าไม่ได้เจอกันง่ายๆ เลยทีเดียว ^^
อ้างอิง
[1] ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจาก wikipedia.
ที่มา: Peter, Backus (2010). Why I don’t have a girlfriend, mimeo, online at The University of Warwick.